ชื่อ: ปั่นหนังว้อง
ภาค:ภาคเหนือ
จังหวัด: กำแพงเพชร
อุปกรณ์และวิธีเล่น
การปั่นหนังว้อง คือการปั่นยางวงที่ใช้รัดของ เป็นการเล่นของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายเล่นโดยการจับคู่เล่นบนพื้นราบที่ไม่สกปรก เช่น พื้นเรือน หรือบนโต๊ะ อุปกรณ์ที่ใช้คือ ยางรัดของจำนวนมากน้อยเท่าที่หาได้กติกาการเล่นมีอยู่ว่า หากผู้เล่นฝ่ายใดสามารถคลายยางรัดของออกจากกันเป็นเส้นปกติได้ ก็จะได้ยางรัดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
วิธีเล่น
เริ่มจากการนำยางรัดของมาคนละเส้นประกบกันแล้วให้ฝ่ายหนึ่งใช้ส้นมือถูยางรัดของที่ประกบกันนั้นโดยแรงให้ยางรัดทั้งสองเส้นบิดตัวพันกันจนแน่น แล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งพยายามแกะให้คลายออกจากกัน ถ้าทำได้สำเร็จจะได้ยางรัดของไปเป็นของตน ถ้าทำไม่สำเร็จจะต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งทำแทน ผลัดกันเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีผู้ทำสำเร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มต้นใหม่ไปเรื่อยๆ
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
เป็นการละเล่นที่ใช้เล่นในยามว่าง
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
การเล่นปั่นหนังว้อง เล่นได้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง พ่อแม่สามารถให้ลูกเล่นในบ้านและคอยสังเกตพฤติกรรม นิสัยใจคอของลูก หากพบความผิดปกติจะแก้ไขได้ทันท่วงที
นอกจากนี้ยังเป็นการเก็บรักษายางรัดของไว้ใช้ในโอกาสต่อไปอีกทางหนึ่งด้วย
ชื่อ:ชนกว่าง
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: เชียงใหม่
ในบรรดาการละเล่นพื้นบ้านทางภาคเหนือ โดยเฉพาะการละเล่นที่เกี่ยวข้องกับสัตว์นั้น การเล่นชนกว่างนับได้ว่าเป็นที่นิยมไม่น้อยกว่าการชนไก่ กัดปลา ชนวัว หรือวิ่งควาย ของภาคอื่น ๆ
กว่าง เป็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลด้วงมี ๖ ขา แต่ละขามีเล็บสำหรับเกาะยึดกิ่งไม้ ใบไม้ได้อย่างมั่นคง กว่างบางชนิดมีเขา บางชนิดไม่มีเขา บางชนิดไม่นิยมนำมาเลี้ยง บางชนิดนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นเช่น กว่างซาง กว่างงวง กว่างกิ กว่างกิอุ และกว่างอี้หลุ้ม
กว่างซาง เป็นกว่างตัวโต ปีกและลำตัวสีน้ำตาลหรือสีแดงด้าน ๆ มีเขาด้านบน ๕ เขา ด้านล่าง ๓ เขาเขาด้านล่างขยับหนีบเข้าหากันได้ มักกินหน่อไม้ซางเป็นอาหาร อุปนิสัยอืดอาดช้าจึงไม่นิยมนำมาเลี้ยง
กว่างงวง เป็นกว่างที่มีลำตัวกลม ปีกสีแดง ส่วนหัวสีดำ มีเขาบนเขาเดียวงอโง้งเหมือนงวง กว่างกิเป็นกว่างตัวเล็กเขาบนสั้นมากจนเกือบกุด ส่วนเขาล่างยาวกว่า กว่างกิอุจะตัวโตกว่าและเขาบนจะยาวกว่า
กว่างอีหลุ้ม หรือกว่างแม่มูด เป็นกว่างตัวเมีย ไม่มีเขา มักนิยมนำมาใช้ล่อในการชน
อุปกรณ์ในการเล่น
กว่างที่นิยมนำมาเลี้ยงไว้ชนนั้น จะเป็นกว่างตัวผู้และมีเขาทั้งบนและล่าง ปลายเขาจะแยกออกเป็นแฉกและแหลมคม เขาบนติดกับส่วนหัวไม่สามารถขยับได้ ส่วนเขาล่างสามารถขยับหนีบได้ ซึ่งส่วนเขานี้เองคืออาวุธสำคัญในการต่อสู้กับศัตรู
กว่างชน ที่นิยมนำมาเลี้ยงไว้ชน ได้แก่ กว่างกิโตน กว่างแซม กว่างซ้ง กว่างรักน้ำปู๋ และกว่างรักน้ำใส
กว่างกิโตนนั้น เขาบนและเขาล่างยาวมาก แต่เขาล่างจะยาวกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นกว่างซ้น เขาบนและเขาล่างยาวมากและเท่า ๆ กัน ปลายเขาแหลมคม
สำหรับกว่างแซม เขาจะสั้นเท่ากันทั้งบนและล่าง ส่วนกว่างรักน้ำปู๋ เป็นกว่างที่มีสีดำสนิททั้งตัว ถ้าเป็นกว่างรักน้ำใส จะมีสีดำออกแดงน้ำตาลเล็กน้อย
ขณะเลี้ยงดูกว่างผู้เลี้ยงก็จะฝึกฝนทักษะการต่อสู้ด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ใช้ไม้ไผ่เหลากลมสอดระหว่างเขาทั้งคู่แล้วปั่น ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เพื่อฝึกปฏิกิริยาในการต่อสู้บางครั้งก็ใช้เชือกเส้นเล็กผูกติดกับเขาบน แล้วแกว่งเป็นวงกลมให้กว่างบินเป็นระยะ ๆ เพื่อฝึกกำลัง บางครั้งก็หากว่างตัวอื่น ๆ ที่มีกำลังด้อยกว่าคู่ซ้อม ให้เกิดความฮึกเหิม ฝึกฝนจนเห็นว่าพอจะนำไปเปรียบชนกับคนอื่นได้แล้ว จึงนำไปที่บ่อนชนกว่าง
การเล่นชนกว่างตามบ่อนนับว่าสนุกมาก เพราะมีการเปรียบกว่างหลายคู่ มีการพนันขันต่อเข้ามาเพิ่มรสชาติด้วยตามอัธยาศัย เมื่อเปรียบกว่างและตกลงกันแล้วว่าจะชนกัน เจ้าของกว่างก็จะนำกว่างมาเกาะท่อนอ้อย ซึ่งเปรียบเสมือนสนามประลอง โดยให้เกาะท่อนอ้อยทางด้านปลายทั้งสองให้เผชิญหน้ากันตรงกลางท่อนอ้อย จะฝังกว่างอีหลุ้มไว้ โดยให้ส่วนหลังโผล่ออกมา หลังจากนั้นเจ้าของกว่างก็จะใช้ไม้ไผ่เหลาเสียบเขาให้กว่างเดินเข้ามาหาคู่ต่อสู้พอได้กลิ่นกว่างอีหลุ้ม กว่างทั้งสองก็จะเกิดการหวงและเข้าต่อสู้กัน โดยการ คาม หรือเอาเขาประสานกัน ต่างฝ่ายต่างหนีบกัน โดยไม่เพลียงพล้ำ เมื่อกว่างตัวใดพยายามเบี่ยงตัวและชิงความได้เปรียบโดยสามารถใช้เขาหนีบคู่ต่อสู้เพียงฝ่ายเดียว ในขณะประสานเขาอยู่นั้น จะเรียกว่า
ไหล แต่ถ้าได้เปรียบจนสามารถใช้ปลายเขางัดคู่ต่อสู้จนตัวลอย จะเรียกว่า แคะ บางตัวสามารถหนีบคู่ต่อสู้ด้วยเขาทั้งสอง ยกชูขึ้นลอยทั้งตัว ก็จะถือว่าได้ชัยชนะโดยเด็ดขาดบางตัวถึงตายเพราะถูกคู่ต่อสู้หนีบด้วยเขาในลักษณะนี้ แต่บางตัวก็ถอดใจ ล่าถอยไม่ยอมประสานเขาเรียกว่า ถอด และหันหลังหนีไปก็จะถือว่าแพ้ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ากว่างของตนยังสู้ได้หรือไม่ เจ้าของจะจับกว่างมาพ่นน้ำหรือจับแกว่งให้บิน แล้วประลองใหม่ ถ้ากว่างตัวนั้นถอยหนีอีกก็จะถือว่าแพ้จริง ๆ
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
ฤดูกาลเล่นชนกว่าง จะเริ่มต้นตั้งแต่กลางฤดูฝนไปจนถึงต้นฤดูหนาว โดยชาวบ้านจะไปจับตามกอไม้รวก ด้วยการเขย่าให้ตกลงมา ถ้าเห็นว่ามีลักษณะดีตรงตามชนิดที่จะสามารถนำมาเลี้ยงไว้ชนได้ก็จะนำมาเลี้ยง โดยให้อาหารจำพวกหน่อไม้ ลูกบวบ กล้วยสุก อ้อย
แนวคิด
ปัจจุบัน การเล่นชนกว่างยังคงนิยมเล่นกันอยู่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่เล่นมักนิยมไปเล่นในบ่อนเพื่อการพนัน แหล่งซื้อหากว่างที่รู้จักกันดีอยู่ตรงริมแม่น้ำปิง เชิงสะพานนวรัฐ ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่และตามกาดหรือตลาดทั่วไป
ชื่อ: ไก่ชนมะม่วง (ป๊อกบ่าม่วง หรือการสับมะม่วง)
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด:เชียงใหม่
อุปกรณ์
๑. ลูกมะม่วงขนาดหัวแม่มือ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ นิ้ว หรือขนาดมือกำได้รอบ
๒. เชือกสำหรับร้อยมะม่วง
๓. ไม้ไผ่สำหรับทำเดือย
วิธีการเล่น
การเล่นไก่ชนมะม่วงจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย กี่คนก็ได้แต่แข่งขันกันทีละคู่ โดยมีวิธีการเล่นดังนี้
๑. ใช้วิธีเสี่ยงว่าใครจะเป็นผู้เริ่มต้นสับไก่มะม่วงก่อน หรือจะใช้วิธีตกลงกันโดยกำหนดให้คนที่มีมะม่วงขนาดเล็กรับก่อน
๒. เจ้าของไก่มะม่วงจะต้องดึงเชือกให้ตึง ห้ามหย่อน ผลัดกันสับคนละครั้ง สับกันไปจนกระทั่งมะม่วงแตก ก็จะใช้ไม้ไผ่เย็บจนเย็บไม่ได้ถือว่าแพ้ หรือเชือกขาดก็ถือว่าแพ้เช่นกัน
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
เป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาสในฤดูที่มะม่วงเริ่มออกผล
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
เป็นการละเล่นที่ให้ความสนุกสนาน ส่วนมากจะเป็นการละเล่นของเด็กผู้ชาย สอนให้ผู้เล่นมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ และรู้ระเบียบวินัยของการเล่นด้วยกัน และเป็นการสร้างความสามัคคีต่อการรวมกลุ่ม
ชื่อ: เล่นโพงพาง
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: ตาก
สถานที่เล่น
สนาม ลานกว้าง
สนาม ลานกว้าง
อุปกรณ์
ผ้าปิดตา
ผ้าปิดตา
จำนวนผู้เล่น
ไม่จำกัดจำนวน
ไม่จำกัดจำนวน
วิธีเล่น
ยิงฉุบกันว่าใครจะเป็นผู้แพ้ต้องปิดตาเป็นโพงพางตาบอด ผู้เล่นคนอื่น ๆ จับมือเป็นวงกลมร้องเพลง โพงพางเอ๋ย โพงพางตาบอด รอดเข้ารอดออก โพงพางตาบอดปล่อยลูกช้างเข้าในวง ขณะเดินวนรอบ ๆ โพงพางตาบอดร้องเพลง ๑-๓ จบ แล้วนั่งลงโพงพางจะเดินมาคลำคนอื่น ๆ ซึ่งต้องพยายามหนี และจะต้องเงียบสนิท หากโพงพางจำเสียงหัวเราะ รูปลักษณะได้จะเรียกชื่อ ถ้าเรียกคนถูกต้องออกมาปิดตาเป็นโพงพางต่อไป ถ้าไม่ถูกก็ต้องเป็นโพงพางอีกไปเรื่อย ๆ
กติกา
ใครถูกจับได้ และบอกชื่อถูกต้องเป็นโพงพางแทน
โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ชื่อ: ยก
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: ตาก
อุปกรณ์
หนังยาง
หนังยาง
วิธีการเล่น
๑. แบ่งผู้เล่นออกเป็นทีม ทีมละ ๓ คนขึ้นไป
๒. นำหนังยางมาร้อยให้เป็นเส้นยาวพอสมควร
๓. ทำการเป่ายิงชุบ เพื่อหาว่าทีมไหนแพ้จะเป็นคนจับหนังยางยกเป็นทีมแรก
๔. ขั้นแรก ให้นำเข่าติดกับพื้นมือทั้งสองจับหนังยางพร้อมทั้งยกก้นและ ชูมือให้สุด เพื่อให้ทีมตรงข้ามโดดไม่ผ่าน (ในการเล่นแต่ละขั้นถ้ากระโดดผ่านจะได้เล่นต่อไป)
๕. ขั้นสอง ให้ยกเข่าข้างที่ถนัดแล้วพร้อมทั้งยกก้น และชูมือให้สุดเพื่อให้ทีมตรงข้ามโดดไม่ให้ผ่าน
๖. ขั้นสาม นำหนังยางมาพันเข่าหนึ่งรอบเพื่อให้ทีมตรงข้ามโดด โดยกำหนดว่าต้องโดดไม่โดนหนังยาง แล้วแต่กำหนดว่าจะให้โดดกี่ครั้ง
๗. ขั้นสี่ (ใต้ก้น) คือ นำหนังยางพันใต้ก้นให้ทีมตรงข้ามกระโดดผ่านโดยไม่จัง กำหนดว่าต้องโดดไม่โดนเส้นหนึ่งครั้ง
๘. ขั้นห้า (อีเอว) คือ นำหนังยางไว้ตรงเอวในการเล่นขั้นอีเอวจะมีการกระโดดท่าเพิ่ม คือ อีหญิง อีชาย โดยผู้เล่นจะเลือกท่าไหนก็ได้ จะกำหนดให้เล่นอีหญิง ๒๐ ครั้ง การเล่นอีหญิงคือ การกระโดดโดยการเอาขาข้างที่ถนัดเกี่ยวหนังยางไว้ใต้เข่าและเอาขาอีกข้างโดดข้ามหนังยางไป แล้วทำซ้ำจนครบ ๒๐ ครั้ง ส่วนอีชายคือ การกระโดดเอาขาข้างที่ถนัดเกี่ยวไปข้างหน้าให้ขากระแดะเป็นเลขสี่และเอาขาอีกข้างกระโดดข้ามตามไปจนครบ ๑๐ ครั้ง
๙. ขั้นหก (อีพุง) ทำเหมือนขั้นห้า (อีเอว) แต่กำหนดการเล่นอีหญิง ๑๐ ครั้ง อีชาย ๕ ครั้ง
๑๐. ขั้นเจ็ด (อียก) ทำเหมือนขั้นห้าและหก แต่กำหนดการเล่นอีชาย ๓ ครั้ง และอีหญิง ๕ ครั้ง
๑๑. ขั้นแปด (อีลักแล้) ทำเหมือนขั้นห้า หก และเจ็ด แต่กำหนดการเล่นอีหญิง ๒ ครั้ง อีชาย ๑ ครั้ง
๑๒. ขั้นเก้า (อีคอ) เล่นโดยกระโดดท่าอีหญิงครั้งเดียว
๑๓ ขั้นสิบ (อีหู) เหมือนขั้นเก้า
๑๔ ขั้นสิบเอ็ด (อีหัว) กระโดดท่าหญิง ๑ ครั้ง มีตัวช่วยโดยใช้นิ้วก้อยเกี่ยวหนังยางลงมาพอสมควรแล้วกระโดดท่าอีหญิงข้าม
๑๕. ขั้นสิบสอง (อีธู) เป็นขั้นสุดท้ายในการเล่น มีการเล่น ๒ แบบ คือ ท่าตีลังกาเอาเท้าเกี่ยวหนังยางแล้วข้ามหนังยางไป และอีกท่าคือ ท่าคาราเต้ ใช้สันมือข้างที่ถนัดกดหนังยางลงมาพอสมควรแล้วข้ามด้วยท่าอีหญิง
การเล่นแต่ละขั้น เมื่อจบแล้วให้เปลี่ยนผู้เล่นคนอื่นมาเล่นต่อ ถ้าในการเล่นแต่ละขั้นถ้าผู้เล่นในทีมที่เล่นผ่านจะมีสิทธิ์ใช้แทนเพื่อนที่เล่นไม่ผ่านได้ แต่ถ้าหมดผู้เล่นในทีมแล้ว คือ เล่นไม่ผ่านหมดจะต้องไปจับแทนผู้เล่นอีกฝ่ายตรงข้าม
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
เล่นได้ทุกโอกาสที่มีเวลาว่างและสภาพอากาศเหมาะสมและต้องการออกกำลังกาย หรือหย่อนใจ
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
เป็นการออกกำลังกายและเพิ่มพูนทักษะทางด้านยิมนาสติก และช่วยให้มีไหวพริบ รู้แพ้รู้ชนะ มีจิตใจแจ่มใส ช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์
ชื่อ:เตยหรือหลิ่น
ภาค:ภาคเหนือ
จังหวัด: ตาก
สถานที่เล่น
ลานกว้าง ที่โล่งแจ้ง
ลานกว้าง ที่โล่งแจ้ง
อุปกรณ์
ไม่มี
ไม่มี
จำนวนผู้เล่น
๖-๑๒ คน
๖-๑๒ คน
วิธีเล่น
ขีดเส้นเป็นตารางจำนวนเท่ากับผู้เล่น (สมมติว่ามี ๖ คน) แล้วแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนประจำเส้น (ตามขวาง) อีกฝ่ายจะวิ่งผ่านแต่ละเส้นไปโดยไม่ให้เจ้าของเส้นแตะได้ เมื่อเริ่มเล่นคนที่ยืนประจำเส้นแรก พูดว่า ไหล หรือ หลิ่น ฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มวิ่งผ่านเส้นแรกไปจนถึงเส้นสุดท้ายแล้ววิ่งกลับ ถ้าวิ่งกลับถึงเส้นแรกโดยไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามแตะได้ก็พูดว่า เตย ก็จะเป็นฝ่ายชนะ
โอกาส
https://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=video&cd=3&cad=rja&ved=0CD0QtwIwAg&url=http%3A%2F%2Fwww.youtube.com%2Fwatch%3Fv%3D0FAIVJBWF04&ei=rSXzUu_KHufMiAe1i4GIAg&usg=AFQjCNEnWeaF_-CWtc1KZ2M-n4CgRH7JoA&sig2=jv2zL6MpvuDAm49UcjuNXQ&bvm=bv.60799247,d.aGc
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ชื่อ:เล่นตากระโดด
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด :ตาก
สถานที่เล่น
กลางแจ้ง และควรเป็นพื้นที่บริเวณกว้าง ๆ
อุปกรณ์
ก้อนหิน หรือกระเบื้อง
จำนวนผู้เล่น
๔ คนขึ้นไป
วิธีเล่น
๑. ขีดช่องสำหรับกระโดดเป็น ๖ ช่อง ขนาดโตพอที่จะกระโดดเข้าไปยืนได้ แล้วแบ่งครึ่งช่องที่ ๓ ที่ ๕ สำหรับที่พัก และกลับหลังหัน จึงมีช่องทั้งหมด ๘ ช่อง แล้วเขียนหัวกระโหลกเล็ก ๆ ในช่องบนสุด
๒. ใช้อะไรเป็นเบี้ยก็ได้ แต่ควรเป็นของที่มีน้ำหนัก ถ้าใครโยนเข้าหัวกระโหลกที่เล็ก ๆ นั้น ก็จะได้เล่นก่อน
๓. โยนเบี้ยลงช่องที่ ๑ แล้วกระโดดขาเดียวข้ามช่องที่ ๑ เข้าไปยังช่องที่ ๒ แล้วกระโดด ๒ ขา เข้าไปในช่องที่ ๓ และ ๔ ให้เท้าข้างหนึ่งอยู่ช่องที่ ๓ อีกข้างหนึ่งอยู่ที่ช่องที่ ๔ จากนั้นกระโดดขาเดียว ต่อไปยังช่องที่ ๕ และ ๒ ขา ที่ช่องที่ ๖ และ ๗ ตามลำดับ กระโดดตัวกลับ หันหน้ากลับมาทางเดิม กระโดดขาเดียวมายังช่องที่ ๕ สองขาที่ช่องที่ ๓ และ ๔ ขาเดียวที่ช่องที่ ๒ และช่องที่ ๑ พร้อมกับก้มลงเก็บเบี้ยที่ช่องที่ ๑ จากนั้นก็กระโดดออกมา
๔. ถ้าเกิดเล่นช่องที่ ๑ แล้วก็เล่นช่องที่ ๒ โดยโยนเบี้ยให้อยู่ในช่องที่ ๒ แล้วกระโดดขาเดียวไปยังช่องที่ ๑ ข้ามช่องที่ ๒ ไปยืน ๒ ขาที่ช่องที่ ๓ และ ๔ กระโดดไปยืนขาเดียวที่ช่องที่ ๕ และ ๒ ขา ที่ช่องที่ ๖ และ ๗ แล้วหันตัวกลับทำอย่างเดียวกับตาแรก คือ ต้องกระโดดกลับมาเก็บเบี้ยแล้วจึงกระโดดออกไป ถ้าเกิดเล่นถึงช่องหัวกระโหลกบนสุด ให้กระโดดกลับตัวในช่องที่ ๖ และ ๗ แล้วก้มลงใช้มือลอดระหว่างขา เก็บเบี้ยในช่องกระโหลก เมื่อเก็บได้จึงกระโดดออกมาอย่างเดิม หากว่าเล่นทุกช่องหมดแล้วจะได้บ้าน ๑ หลัง จึงขีดกากบาทไว้กลางช่องต่อไป ใครจะเหยียบบ้านนี้ไม่ได้
โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ชื่อ: อีหึ่ม
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด:ตาก
สถานที่เล่น
สนามกลางแจ้ง
อุปกรณ์
ไม้ยาวประมาณ ๕๐ เซ็นติเมตร และไม้ยาวประมาณ ๒๐ เซ็นติเมตร เรียกว่า ลูก อาจใช้ตะเกียบแทนก็ได้
จำนวนผู้เล่น
ตั้งแต่ ๔ คนขึ้นไป ควรจะเป็นคู่กันด้วย
วิธีเล่น
แบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ฝ่าย ๆ ละเท่ากัน เป่ายิงฉุบกันใครชนะเล่นก่อน ขุดหลุมน้อย ๆ เอาลูกพาดกลางหลุมไว้ใช้ไม้ยาว ๕๐ เซ็นติเมตร (ไม้วุด) งัดไม้ที่เป็นลูกหรือที่ยาว ๒๐ เซ็นติเมตรไปให้ไกลที่สุด แล้ววางไม้วุดปากหลุม ให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้งัดโดยไม้ที่วุดไปให้มาถูกที่พาดไว้บนปากหลุม ถ้าวุดไม่ถูกก็ให้วุดไม้อีกครั้งจนกว่าจะถูก ถ้าถูกให้ผู้ที่เป็นฝ่ายโยนไม้มาปากหลุมแทน
โอกาส
เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เด็ก ๆ เล่นกันโดยทั่วไป
ชื่อ: เต้นกำรำเคียว
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: นครสวรรค์
เต้นกำรำเคียว เป็นการละเล่นพื้นบ้านซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเลิกทาส กำเนิดครั้งแรกที่บ้านสระทะเล ตำบลสระทะเล อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ โดยหลวงศรีบุรีขวัญ เป็นผู้ประดิษฐ์เนื้อร้อง
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ เคียวเกี่ยวข้าวกับรวงข้าว
วิธีการเล่น ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะยืนอยู่ฝ่ายละครึ่งวงกลม แต่ละคนถือเคียวเกี่ยวข้าวและรวงข้าวไว้คนละมือ เมื่อการละเล่นเริ่มขึ้น ฝ่ายชายที่เป็นพ่อเพลงเป็นผู้เต้นออกไปกลางวงตามจังหวะปรบมือของลูกคู่และร้องเพลงเชิญฝ่ายหญิงว่า
มาเถิดเอย เอ๋ยละแม่มา มาหรือมาแม่มา มาเต้นกำย่ำหญ้ากันเสียในนานี้เอย
แล้วแม่เพลงจะรำออกมากลางวง ร้องโต้ตอบว่า
มาแล้วเอย เอยมาพ่อมา มาหรือมาพ่อมา มาหรือกระไรมาแล้ว พ่อพุ่มพวงดวงแก้ว น้องมาแล้วนายเอย
ชายและหญิงจะเต้นรำคู่กันไป ผู้ยืนอยู่รอบ ๆ วงจะเป็นลูกคู่ร้องรับปรบมือและเต้นไปตามจังหวะเพลงแล้วเปลี่ยนคู่ใหม่ เช่นนี้เรื่อยไป บทเพลงที่ร้องมีหลายบท เช่น เพลงมา เพลงเดิน เพลงรำ เพลงบิน เพลงร่อนเพลงแถ เพลงย่าง เพลงย่อง เพลงยัก เป็นต้น ใครร้องเพลงอะไรก็ทำท่าไปตามเพลงนั้น
โอกาสที่เล่น
หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าว
คุณค่า
ได้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงานหนัก
ชื่อ: การรำกลองยาว
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: นครสวรรค์
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ กลองยาวและฆ้อง
วิธีการเล่น ตีกลองยาวและฆ้องตามจังหวะ ผู้ที่รำจะรำตามเสียงดนตรีด้วยท่ารำที่สวยงามต่าง ๆและจะจบลงด้วยการต่อตัวขึ้นไปร่ายรำบนกลองยาว
โอกาสที่เล่น
เล่นในงานรื่นเริงต่าง ๆ และงานทำบุญปีใหม่
คุณค่า
ใช้เล่นเพื่อความสนุกสนาน และ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านที่ดีงาม ของอำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์
ชื่อ:รำโทนวง
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: นครสวรรค์
อุปกรณ์
โทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ
วิธีการเล่น
แบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เมื่อนักดนตรีขึ้นเพลงแล้วฝ่ายชายจะไปโค้งฝ่ายหญิงให้ออกมารำ การรำนั้นก็จะรำเป็นวงกลมเป็นคู่ ๆ แล้วแสดงท่ารำไปตามจังหวะของเพลงและเนื้อร้องเมื่อจบเพลงหนึ่งแล้วนักดนตรีก็จะขึ้นเพลงต่อไป
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
เล่นงานชุมนุมรื่นเริงต่างๆ หรืองานนักขัตฤกษ์ เช่น วันสงกรานต์
คุณค่า/แนวคิด/สาระ
เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินและเพื่อสมานไมตรีระหว่างชาวบ้าน
ชื่อ:ซิกโก๋งเก๋ง
ภาค :ภาคเหนือ
จังหวัด: พะเยา
อุปกรณ์
โก๋งเก๋งทำจากไม้ไผ่ ท่อนปลายของไม้รวก หรือไม้ซาง ตัดให้สูง ประมาณ ๒-๒.๕ เมตร ใช้มีดตัดเจาะกิ่งไผ่ที่เป็นปมอยู่ข้อตาไผ่ออกให้หมด แต่ต้องเหลือไว้ตรงข้อแรกของไม้ไผ่ให้เป็นปมอยู่ เหลาข้ออื่นๆ ให้เรียบเพื่อสะดวกในการจับถือ หาปล้องไม้ไผ่ที่ใหญ่กว่า ๒ ท่อนแรก ตัดให้เหลือข้อปล้องไว้ด้านหนึ่งยาวประมาณ๑๕-๓๐ เซนติเมตร จำนวน ๒ ท่อน เจาะรู ๒ ด้าน เสร็จแล้วนำไปสวมเข้ากับไม้ ๒ ท่อนแรก โดยให้ไม้ที่สวมนั้นไปค้างติดอยู่กับข้อตาไผ่ที่เหลือไว้ แล้วใช้ผ้าพันตรงไม้ ๒ ท่อนประกบกันให้แน่น
วิธีการเล่น
ใช้มือถือไม้โก๋งเก๋งตั้งขึ้นให้ตรง แล้วค่อยก้าวเท้าใดเท้าหนึ่ง ขึ้นเหยียบบนไม้โก๋งเก๋ง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เท้าซ้ายขึ้นก่อน แล้วก้าวเท้าขวาตามตั้งตัวให้สมดุลแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งออกไป ถ้าล้มก็ขึ้นใหม่เดินใหม่จนคล่อง
โอกาส
การซิกโก๋งเก๋ง เป็นการละเล่นพื้นบ้านของเด็ก ๆ ที่เล่นกันเพื่อความสนุกสนาน ปัจจุบันการซิกโก๋งเก๋งจะเหลือน้อย นอกจากจะเป็นการแสดงหรือสาธิต และเป็นกีฬาของชาวเขาที่ใช้ทำการแข่งขันอยู่ซิกโก๋งเก๋งเกิดขึ้นในชนบท ซึ่งในสมัยก่อนถนนหนทางไม่สะดวกเป็นโคลนเป็นฝุ่น เมื่อเดินด้วยเท้าธรรมดา จะทำให้เกิดโรคเท้าขึ้น ชาวล้านนาเรียกว่า หอกินตีน ชาวชนบทล้านนาถึงคิดหาวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เท้าเปื้อนโคลนฝุ่นและเชื้อโรค จึงคิดทำโก๋งเก๋งออกมาเพื่อใช้เดิน
ชื่อ: บ่าขี้เบ้าทราย
ภาค :ภาคเหนือ
จังหวัด: น่าน
อุปกรณ์
๑. กองทราย
๒. ลูกขี้เบ้าทราย ลูกขี้เบ้าทำมาจากทรายที่ละเอียดพอควร หากเป็นทรายหยาบมักจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ควร ลูกขี้เบ้ามี
วิธีทำ
๑.๑ นำทรายที่ละเอียดพอมาหนึ่งกำมือ เอาน้ำใส่ในทราย พอปั้นเป็นรูปกลม ๆ ได้ น้ำไม่ควรมากเกินและน้อยเกินไป เพราะการปั้นทรายให้เป็นรูปกลม ๆ ต้องใช้น้ำให้พอเหมาะ
๑.๒ พอปั้นทรายให้เป็นรูปกลม ๆ แล้ว นำทรายนั้นมาคลุกกับทรายอีกจนแข็ง หาก ทำให้เนื้อทรายผิวนอกเกิดสีผิวคล้ำเข้มกว่าผิวปกติ จะแข็งมากกว่าลูกอื่น ๆ และจะให้แข็งขึ้นไปอีกก็ต้องนำไปฝังดินหรือทรายให้นานกว่า ๔ - ๕ วันขึ้นไป
วิธีการเล่นลูกขี้เบ้า มีอยู่ ๒ วิธี คือ
๑. เล่นแบบ ๒ ลูก คือ ในกองทรายให้ขุดหลุมลงไปให้มีทางยาวเป็นหนึ่งทาง ให้ตรงกลางหลุมลึกกว่าตรงปลายหลุม แล้วให้ลูกขี้เบ้าของเด็กสองคนมาชนกัน หากใครเป็นฝ่ายแตกฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้ไปทำมาเล่นใหม่
๒. เล่นแบบ ๔ ลูก คือ การเล่นแบบที่ ๑ แต่มีลูกขี้เบ้าทรายมากกว่า ๒ นี้ ผู้เล่นต้องขุดหลุมเป็นทางมากกว่า ๑ ทางขึ้นไป เช่น เล่นแบบ ๔ ลูก ผู้เล่นก็มี ๔ คน ลูกขี้เบ้าคนละลูก ขุดหลุมทรายออกให้เป็นรูปกากบาท ให้ตรงกลางหลุมลึกกว่าตรงปลายหลุม แล้วผู้เล่นก็นำลูกขี้เบ้าทั้ง ๔ คน นำเอามาวางบนปากหลุม ทุกคนก็ปล่อยลงไปพร้อมกัน ดูว่าลูกใครแตกน้อยที่สุดผู้นั้นก็ชนะ
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
ลูกขี้เบ้าทำมาจากทราย ฉะนั้นการเล่นลูกขี้เบ้าก็จะต้องเล่นในที่ที่มีทราย เวลาเด็กไปเล่นกันในวัดก็มักจะพบเด็กเล่นลูกขี้เบ้ากัน แต่พอระยะหลัง ๆ กองทรายที่จะให้เด็กเล่นกันหาไม่ค่อยได้ลูกขี้เบ้าจึงหาดูได้ยากขึ้น จึงมักจะเล่นกันในช่วงสงกรานต์ที่มีการขนทรายเข้าวัด
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
บ่าขี้เบ้าทราย เป็นการละเล่นที่ฝึกความคิดที่จะสร้างให้ลูกบ่าขี้เบ้าแข็งแรง เป็นการฝึกความอดทนและทำให้กล้ามเนื้อส่วนแขนขาใช้งานและบริหารให้แข็งแรงขึ้น และทำให้เป็นผู้ยอมรับในกติกาการเล่น
ชื่อ: การแข่งขันเรือบก
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: พิษณุโลก
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
การแข่งขันเรือบกมีอุปกรณ์และวิธีเล่นดังต่อไปนี้
อุปกรณ์
ไม้ไผ่ขนาด ๘ เมตร แทนลำเรือแข่งขนาดใหญ่ และผู้แข่งขัน ๙ คน และไม้ไผ่ ๕ เมตร แทนลำเรือแข่งขนาดเล็กและผู้แข่งขัน ๖ คน
วิธีการเล่น
๑. รับสมัครเรือแข่งขนาดอายุ ๙-๑๐ ปี และ ๑๐-๑๔ ปี ให้ผู้แข่งขันเรือบกแต่ละขนาด ยืนคร่อมลำไม้ไผ่ แข่งครั้งละ ๒ ลำ
๒. ปล่อยเรือบกออกไปพร้อมกันโดยให้วิ่งในโคลนและจับเวลา
๓. เรือบกลำที่ชนะเลิศ ต้องชนะ ๒ เที่ยวในกำหนด ๓ เที่ยวซึ่งเป็น กติกาเดียวกับการแข่งขันเรือยาวทั่วไป
๔. ความสนุกสนานในการแข่งขันเรือบกอยู่ที่ผู้แข่งขันเรือบกในแต่ละลำจะต้องวิ่งลุยโคลนโดยพร้อมเพียงกัน ซึ่งถ้าผู้เข้าแข่งขันคนใดเสียจังหวะ หรือไม่พร้อมกับคนอื่น ๆ เรือบกก็จะพากันล้มลงคลุกโคลนตมแล้วทุกคนต้องวิ่งจนกว่าจะถึงเส้นชัย
โอกาสในการแข่งขันเรือบก
แต่เดิมบริเวณหลังวัดเนินกุ่ม ตำบลเนินกุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลกมีลำคลองสามารถแข่งขันเรือยาวเป็นประจำทุกปี ต่อมาแม่น้ำลำคลองตื้นเขิน ชาวตำบลเนินกุ่ม จึงจัดการละเล่นพื้นบ้าน "การแข่งขันเรือบก" ขึ้นในงานประจำปีของวัดเนินกุ่ม ระหว่าง วันแรม ๑-๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี (ประมาณเดือนกันยายน)
คุณค่าของการแข่งขันเรือบก
เป็นการส่งเสริมการออกกำลังกาย ฝึกความขยัน อดทน มานะพยายาม เป็นการส่งเสริมความสามัคคีและฝึกเด็กให้รู้จักมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะและรู้อภัย
ชื่อ มังคละ
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
๑. กลองมังคละ เป็นกลองหนังหน้าเดียวขนาดเล็กทำจากไม้ขนุน หน้ากลองมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕ นิ้ว หุ้มด้วยหนัง กลองยาวประมาณ ๑๐ นิ้ว
๒. ปี่ มีลักษณะคล้ายปี่ชวา ๑ เลา
๓. กลองสองหน้า ๒ ขนาด ขนาดใหญ่ เรียกว่ากลองยืน ขนาดเล็กเรียกว่า กลองหลอน ตีจังหวะขัดล้อกัน
๔. เครื่องประกอบจังหวะ ได้แก่ ฆ้อง ๓ ใบ แขวนอยู่บนคานหาม ฉิ่ง และฉาบใหญ่ ๒
วิธีการเล่น
มีผู้ถือหรือสะพายกลองไว้เบื้องหลัง ให้ผู้เล่นอีกคนถือหวายยาวประมาณ ๑๗ นิ้ว ๒ อัน แล้วเดินตีกลองไปตามจังหวะเมื่อตีจะเกิดเสียงดัง โกร๊ก ๆ
โอกาส
มังคละ มักนิยมเล่นในงานมงคลต่างๆเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง เช่น งานแห่นาค แห่กฐิน งานกลางแจ้งต่าง ๆ
สาระ
มังคละ เป็นดนตรีพื้นบ้านในเขตภาคเหนือตอนล่าง เป็นที่นิยมกันมานาน มีหลักฐานว่าดนตรีมังคละเล่นกันมานานกว่า ๑๐๐ ปี เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพิษณุโลก
ชื่อ:การละเล่นไม้หึ่ง หรืออีหึ่ง
ภาค:ภาคเหนือ
จังหวัด :กำแพงเพชร
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ ใช้ไม้ ๒ ชิ้น คือ ไม้แม่ ทำด้วยกิ่งไม้ที่หาง่ายและเหนียว มีขนาด เส้น ผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑นิ้ว หรือใกล้เคียง ยาวประมาณ ๑ ศอก และ ไม้ลูก อาจนำจากไม้ท่อนเดียวกันด้านปลายของไม้แม่ยาวประมาณ ๑ คืบ ไม้ที่สามารถทำได้ เช่น ไม้มะขาม ไม้ฝรั่ง หรือไม้ไผ่ลำเล็ก ตัน คือ เป็นไม้ที่สามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น นิยมใช้ไม้สดด้วยเป็นไม้ที่ยังมีน้ำหนักและเหนียวไม่เปราะเหมาะสมกับกระบวนการเล่น
วิธีการเล่น โดยการแบ่งฝ่ายละเท่า ๆ กัน เช่น ๒ ต่อ ๒ หรือ ๓ ต่อ ๓ ฝ่ายได้เล่นก่อนจะทำการขุดร่องที่พื้นดินแข็งให้เป็นร่องยาวประมาณ ๑ คืบ ลึก ๑ นิ้วครึ่ง เป็นรางคล้ายเรือ หรือ พอเพียงกับการงัดไม้ลูกได้จากนั้นฝ่ายเริ่มจะวางไม้ลูกขวางร่องหลุมที่ขุดไว้ แล้วใช้ไม้แม่งัดออกไปข้างหน้าให้ได้ระยะไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับยากหรือโต้กลับยาก ขณะที่งัดไม้ลูกออกไปนั้น ฝ่ายรับสามารถใช้อุปกรณ์ใดก็ได้ปกป้องหรือตีโต้กลับไปยังหลุมงัด หรือใช้มือรับ จากนั้นฝ่ายเริ่มต้องวางไม้แม่ไว้ที่หลุม ฝ่ายรับจะโยนไม้ลูกให้กลับมาให้ถูกหรือปะทะให้ไม้แม่ที่วางอยู่เพื่อการชนะ ถ้าสามารถโยนลูกปะทะไม้แม่ก็จะได้กลับมาเป็นผู้เริ่มหรือผู้เสริฟ แต่ถ้าโยนไม่ถูกไม้แม่ฝ่ายเริ่มก็จะได้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป คือ นำไม้ลูกขึ้นมาเดาะโดยใช้ไม้แม่เดาะไม้ลูกให้ได้จำนวนครั้งให้ได้มากที่สุด ถ้าเดาะได้ถึง ๓ ครั้งก็จะได้ตีลูกออกไปถึง ๓ ครั้ง การตีจะ
พยายามตีลูกออกไปยังฝ่าย ตรงข้ามให้ได้ระยะไกลที่สุดและไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรับได้ เพราะถ้ารับได้ก็จะต้องแพ้และกลับมาเป็น ผู้เริ่ม แต่ถ้ารับไม่ได้ฝ่ายเริ่มเดิมก็จะให้ตีไม้ต่อไปจนให้ครบ ๓ ครั้ง และฝ่ายรับก็จะนำไม้ลูกนั้นวิ่งกลับมายังหลุมโดยกลั้นหายใจและออกเสียงมาทางจมูกให้มีเสียง หึ่ม มาตลอดระยะการวิ่ง ถ้าเล่นฝ่ายละหลายคนก็สามารถส่งต่อไม้กันได้และผู้รับต่อก็จะต้องหึ่มต่อเช่นกัน ห้ามขาดเสียงหึ่มในขณะวิ่งกลับถ้าขาดเสียงหึ่มก็ถือว่าฟาวล์หรือแพ้ในเกมนั้น ผู้เริ่มเดิมก็จะได้เล่น แต่ถ้าผู้หึ่มสามารถวิ่งหึ่มมาถึงหลุมได้ก็จะชนะได้เป็นผู้เริ่มเล่นใหม่โดยใช้วิธีเดิม (การเล่นอาจแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละท้องถิ่นได้)
โอกาสหรือเวลาที่เล่น
เป็นการเล่นของเด็กเล็กและเด็กโตประมาณ ๗ - ๑๕ ขวบ สามารถเล่นได้ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายเล่นในยามว่างเพื่อสันทนาการ ความสนุกสนาน และแข่งขันกันในหมู่เล็ก สถานที่ใช้เล่นจะต้องมีบริเวณลานกว้างพอ เช่น สนามหน้าโรงเรียน ลานบ้านในหมู่บ้าน หรือลานวัด
คุณค่า / แนวคิด / สาระ
เป็นการเล่นที่ง่ายไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์และการเก็บรักษาอุปกรณ์ เนื่องด้วยไม้ที่ ใช้เล่นนิยมใช้ไม้สดเนื่องจากมีน้ำหนักในการใช้โยนหรือตีได้ไกล และเป็นการเล่นที่ต้องใช้ทักษะการงัด ให้ได้ไกล ดังนั้นจะต้องวางไม้ลูกให้ได้จุดกึ่งกลาง วางมุมไม้แม่ให้ได้องศาการดีดขึ้น ฝ่ายรับจะต้องมีทักษะการรับประสาทสั่งการความสัมพันธ์ของสายตาและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่ละช่วงของการเล่นจะมีเทคนิคการเล่นที่ต้องใช้ความสังเกต และฝึกความชำนาญในโอกาสต่อไป เช่น คนที่เล่นได้ดีคือจะงัดให้ไกลหรือเดาะได้จำนวนครั้งได้มาก และเวลาไม้ตีลูกก็จะได้ไกลเนื่องจากในขณะตีนั้นจะต้อง ให้มีความสัมพันธ์กันระหว่างการปล่อยมือไม้ลูกและไม้แม่ให้ตรงจุดกึ่งกลางศูนย์กลางของน้ำหนัก เช่นเดียวกับการตีเทนนิส หรือแบดมินตัน หรือเบสบอลและฝึกความแม่นยำในการโยนกลับ หรือพัดลูกกอล์ฟบนกรีนหรือเปตอง
ชื่อ: การเส็งกลอง (การแข่งขันตีกลอง)
ภาค: ภาคเหนือ
จังหวัด: เพชรบูรณ์
อุปกรณ์และวิธีการเล่น
อุปกรณ์ กลองสองหน้า ไม้กลอง
วิธีการเล่น ผู้เล่นใช้ไม้กลองตีกลองเพื่อให้มีเสียงดัง การตัดสินจะพิจารณาจากเสียงกลองที่ได้มาตรฐาน และลีลาการตีกลอง
โอกาสหรือเวลาเล่น
เล่นในงานประเพณีพื้นบ้าน งานเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานบุญบั้งไฟ งานรื่นเริงประจำปี และงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ
คุณค่า
การเส็งกลองเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่มีคุณค่าอย่างยิ่งเพราะเป็นการสร้างเสริมความสามัคคี ในหมู่คณะ ส่งเสริมการออกกำลังกาย สร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะหลาย ๆ ด้านประกอบกัน ได้แก่ ศิลปด้านการแสดง ดนตรีและการละเล่น รวมทั้งงานหัตถกรรม แหล่งอ้างอิง:http://thirapanlovelove.blogspot.com/ http://www.youtube.com/watch?v=u65KFR5CY4E
http://www.youtube.com/watch?v=0FAIVJBWF04
http://www.youtube.com/watch?v=0FAIVJBWF04
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น